น้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel) เป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถยนต์หลายคนมักจะมองข้ามไป เมื่อเราพูดถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของรถยนต์ เพราะผู้ใช้รถยนต์มักมองว่าเติมน้ำมันอะไรก็ไม่แตกต่างกัน สามารถใช้วิ่งได้เหมือนกัน รวมไปถึงความเชื่อที่ว่ายิ่งน้ำมันเบนซินผสมเอทานอลเยอะเท่าไร ยิ่งทำให้รถยนต์วิ่งดีเพราะเลขออกเทนสูง วันนี้เราจะมาอธิบายให้เข้าใจกันว่าความเชื่อไหนจริง ความเชื่อไหนไม่จริง
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 แก๊สโซฮอล 91 E20 E85 แตกต่างกันอย่างไร?
แก๊สโซฮอล 95 (E10) : คือ น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว ที่มีค่าออกเทน 95 ผสมกับเอทานอล 10%
แก๊สโซฮอล 91 (E10) : คือ น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว ที่มีค่าออกเทน 91 ผสมกับเอทานอล 10%
แก๊สโซฮอล E20 : คือ น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว ที่มีค่าออกเทน 95 ผสมกับเอทานอล 20%
แก๊สโซฮอล E85 : คือ น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว ที่มีค่าออกเทน 95 ผสมกับเอทานอล 85%
เลขออกเทนของเอทานอลสูงกว่าเบนซินจริงหรือไม่? แล้วจะทำให้รถยนต์วิ่งดีกว่าไหม ถ้าผสมเอทานอลเยอะขึ้น?
เลขออกเทนของเอทานอลบริสุทธิ์อยู่ที่ 113 ซึ่งมีค่า สูงกว่า น้ำมันเบนซิน ถึงแม้ว่าการมีเลขออกเทนสูงจะบ่งบอกถึงการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่จากการทดสอบและการวิจัยของหลายสำนัก การมีเปอร์เซนต์เอทานอลที่สูงก็ไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของรถยนต์ของเรามากขึ้นแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามในรถยนต์บ้านทั่วไปและรถสปอร์ต กลับพบว่าอัตราเร่งในความเร็วตั้งแต่ 100 กม./ชม. มีค่าลดลง
ภาพที่ 1 พลังงานที่ได้จากเอทานอลหนึ่งลิตรเทียบกับน้ำมันเบนซิน 95 หนึ่งลิตร
Energy Density (ความหนาแน่นของพลังงาน)
Gasoline (petrol) = 9,500 W・h/L
Ethanol = 6,666.7 W・h/L (-29.8%)
เนื่องจากเมื่อรถยนต์ขับขี่ที่ความเร็วสูง (Top Speed) ความหนาแน่นของพลังงานเชื้อเพลิงมีความสำคัญในการขับเคลื่อนรถยนต์ เมื่อเราเปรียบเทียบความหนาแน่นของพลังงานในเอทานอลกับความหนาแน่นของพลังงานในเบนซิน 95 จะพบว่าเอทานอลมีค่าน้อยกว่าถึง 30% กล่าวคือในการขับรถระยะทางที่เท่ากันด้วยอัตราเร่งและความเร็วเท่ากันเอทานอลจะใช้ปริมาณเชื้อเพลิงมากกว่าเบนซินถึง 30% นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เวลาเรายิ่งเติมน้ำมันที่มีเอทานอลสูง (E20 หรือ E85) จะทำให้รถของเราใช้น้ำมันหมดไวขึ้น
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมรถแข่งในสนามถึงมักเลือกใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันเบนซิน (Gasoline) มากกว่าเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอล (Gasohol) เนื่องด้วยเหตุผลจากน้ำหนักเชื้อเพลิงที่ต้องใช้ปริมาณเชื้อเพลิงมากกว่า หากรถแข่งต้องการเลือกใช้แก๊สโซฮอล (Gasohol)
สิ่งที่ส่งผลกระทบกับรถยนต์ของเรา หากเราเติมน้ำมันที่ผสมเอทานอลสูงคือ ในจังหวะที่รถยนต์ต้องการพลังงานสูง เช่น การเหยียบคันเร่งลึก การขึ้นสะพานใช้แรงบิดสูง ๆ (Instant Torque) หรือการใช้ความเร็วสูงรอบเครื่องยนต์สูง จะทำให้เกิดอาการส่วนผสมบาง (Lean fuel mixture) กล่าวคือปริมาณน้ำมันไม่เพียงพอต่อการเผาไหม้ ถึงแม้ว่ารถยนต์ของเราจะยังคงวิ่งต่อไปได้ แต่มันจะส่งผลให้กำลังรถยนต์ตก และอาจส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ในระยะยาว เช่น วาล์วหัวฉีดน้ำมันอาจทำงานหนักจนทำให้มีการสึกหรอมากกว่าปกติได้
การใช้น้ำมัน E20 E85 ทำให้แคททาไลติคเสื่อมสภาพไวจริงหรือไม่?
การที่เครื่องยนต์ใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลมาก จะทำให้ห้องเผาไหม้และไอเสียที่ออกมีอุณหภูมิสูงกว่าน้ำมันเบนซินปกติ ถึงแม้ว่าอุณหภูมิสูงจะทำให้แคททาไลติคทำงานได้ดี แต่ก็ทำให้แคททาไลติคเสื่อมสภาพได้ไวขึ้นเช่นเดียวกัน จากความร้อนที่สะสมในแคททาไลติคที่มากกว่าการเติมน้ำมันเบนซินปกติ และจากปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดจากอาการส่วนผสมบาง (Lean fuel mixture) ทำให้เชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอลสูงจะผลิตก๊าซไนโตรเจนออกไซต์ (NOx) มากกว่า
สรุปแล้ว ใช้น้ำมันอะไรดีกับรถยนต์ที่สุด?
ผู้ผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ มักเขียนระบุในสเปคว่าสามารถใช้ได้ทั้งเบนซิน แก๊สโซฮอล95 91 E10 E20 E85 สิ่งนี้เป็นการระบุว่าเครื่องยนต์และส่วนประกอบต่าง ๆ ของรถคุณถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถใช้น้ำมันเหล่านั้นได้ แต่ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจาก ส่วนผสมบาง (Lean fuel mixture) กลับไม่ได้ถูกระบุไว้ กลายเป็นค่าใช้จ่ายแฝงที่ผู้บริโภคต้องยอมรับ เมื่อถึงเวลาซ่อมแซม
ดังนั้น เราควรสังเกตว่าเราเป็น คนขับประเภท ใด ถ้าหากคุณเป็นเหมือนผมที่รถยนต์ซื้อมามันต้องใช้ให้สนุก เร่งแซงต้องขาด แนะนำให้เติม เบนซิน 95 หรือ แก๊สโซฮอล 95 (E10) เพื่อป้องกันอาการส่วนผสมบางและค่าใช้จ่ายแฝงที่อาจจะพ่วงมากับการใช้เชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอลสูง แต่ถ้าหากคุณขับรถใจเย็น ไม่ได้เหยียบความเร็วเกิน 90 กม./ชม. ไม่ชอบขับรถเร่งแซงใคร สามารถเติม E20 หรือ E85 ได้ แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมหากในอนาคตมีค่าใช้จ่ายการเสื่อมสภาพของแคททาไลติค และวาล์วหัวฉีดน้ำมัน (ปั๊มติ๊ก)